1.1.3 สถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุ
เมื่ออายุเข้าปีที่ 60 ก็จะเป็นการก้าวเข้าสู่วัยของผู้สูงอายุ และต้องเกษียณอายุจากการทำงาน บางคนมีอาชีพเพื่อหารายได้เพื่อดูแลตนเอง บางคนไม่ได้ทำงานเพื่อหารายได้ จากการสำรวจพบเหตุผลดังต่อไปนี้คือ ผู้สูงอายุบางคนไม่ได้ทำงานต่อ คิดเป็นร้อยละ 63.20 โดยให้เหตุผลว่าอายุมากแล้ว คิดเป็นร้อยละ 58.10 เกษียณอายุแล้วไม่ควรต้องทำงาน คิดเป็นร้อยละ 19.62 สุขภาพไม่ดี คิดเป็นร้อยละ 16.20 ลูกหลานไม่อยากให้ทำงาน คิดเป็นร้อยละ 15.19 อีกส่วนหน้อยเป็นเหตุผลอื่นๆ ผู้สูงอายุบางคนยังทำงานอยู่ แบ่งออกเป็น ทำงานส่วนตัว เป็นลูกจ้างรายวันและรายเดือน ในจำนวนของผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่อาชีพส่วนใหญ่มากกว่าครึ่ง คิดเป็นร้อยละ 59.5 จะทำงานด้านการเกษรและการประมง (ทินพัน นาคะตะ, 2559 หน้า 7)
จากข้อมูลข้างต้นแม้ว่ากว่าครึ่งของกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังทำงานหาเลี้ยงตังเองอยู่นั้น แต่ส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้กำลังมากในการทำงาน คือการเกษรและการประมง แต่ด้วยร่างกายของผู้สูงอายุที่มีภาวะถดถ่อยทุกระบบ เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ระบบกระดูก ระบบหัวใจและระบบหายใจ ทำหน้าที่ลดน้อยลงกว่าในวัยทำงาน จึงส่งผลให้ผู้สูงอายุเหนื่อยง่ายกว่าวัยหนุ่มสาว ผลผลิตจากการทำงานย่อมได้น้อย นั้นหมายถึงค่าตอบแทนก็จะได้ลดน้อยลงไปด้วย มีการคำนวณรายได้ของผู้สูงอายุที่จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างพอเพียงนั้นต้องมีรายได้เฉลี่ยอย่างน้อย 300,000 บาท/ปี แต่จากการสำรวจพบว่าผู้สูงอายุมีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่เหลือ ร้อยละ 95 มีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่า 300,000 บาท/ปี แสดงให้เห็นถึงสถานะทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ศูนย์วิจัยกสิกร, 2562) ดังที่เราจะได้เห็นข้อมูลสถานะรายได้ของผู้สูงอายุจากการสำรวจดังนี้ ผู้สูงอายุที่อยู่ตัวคนเดียวร้อยละ 25.86 มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท/ปี หรือเฉลี่ย 833 บาท/เดือน และร้อยละ 55.97 มีรายได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 10,000-49,999 บาท/ปี หรือเฉลี่ย 833-4166 บาท/เดือน (ศุภเจตน์ จันทร์สาส์น, 2556 หน้า 98)
แหล่งรายได้ของผู้สูงอายุมีได้หลายลักษณะที่พบมากที่สุดคือ มีรายได้จากคู่สมรส/บุตร/พี่น้อง/ญาติ คิดเป็นร้อยละ 53.87 รายได้จากการทำงานคิดเป็นร้อยละ 29.01 รายได้จากเบี้ยยังชีพของราชการคิดเป็นร้อยละ 6.91 รายได้จากเงินบำเน็จ/บำนาญคิดเป็นร้อยละ 5.92 รายได้จากดอกเบี้ยเงินออม/เงินออม/ทรัพย์สินคิดเป็นร้อยละ 4.30 (ศุภเจตน์ จันทร์สาส์น, 2556 หน้า 98)
ในขณะเดียวกันผู้สูงอายุอีกเกือบครึ่งจากการสำรวจ คิดเป็นร้อยละ 48.32 ยังคงมีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ ประเภทของหนี้สินประกอบด้วย การประกอบธุรกิจการค้า/การประกอบอาชีพคิดเป็นร้อยละ 49.69 ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันคิดเป็นร้อยละ 27.09 หนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยคิดเป็นร้อยละ 17.49 หนี้เกี่ยวกับเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น รถยนต์ื จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 14.24 ค่าใช้จ่ายการศึกษาบุตรหลานคิดเป็นร้อยละ 10.06 และค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ค่ารักษาพยาบาลคิดเป็นร้อยละ 0.77 (ทินพัน นาคะตะ, 2559 หน้า 7)
จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า สถานะทางด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน (300,000 บาท/ปี) ในการดำเนินชีวิตประจำวัน คือ มีรายได้น้อย แต่มีรายจ่ายมาก ทั้งด้านการดำเนินชีวิตประจำวันพื้นฐาน นอกจากนั้นผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ก็จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น และมักต้องได้รับการดูแลรักษาระยะยาว ซึ่งหากไม่มีแหล่งคอยสนับสนุนอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็น บุตร/หลาน/ญาติ/พี่น้อง รวมถึงสังคมในระดับประเทศก็จะส่งให้สุขภาพกาย จิต อารมณ์และสังคมของผู้สูงอายุเกิดผลกระทบในด้านลบทั้งในระดับส่วนบุคคลและระดับประเทศ