1.1.2 สถานะสุขภาพผู้สูงอายุ
สถานะสุขภาพของผู้สูงอายุมีลักษณะที่เหมือนกันคือ “การเสื่อมถอย” ของอวัยวะทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติไม่ถือว่าเป็นโรค เพียงแต่ภาวะสูงอายุจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังเป็นส่วนใหญ่ การเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อลดลงอย่างมากเนื่องจากความเจริญของการแพทย์และสาธารณสุข ทำให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ในขณะเดียวกันอายุที่ยืนยาวก็มีส่วนให้มีความเสียงต่อการเกิดโรคเรื้อรังได้มากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้นโอกาสเป็นโรคเรื้อรังจะยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุคือ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ซึ่งโรคเหล่านี้มักรักษาไม่หาย จำเป็นต้องได้รับการดูแลแบบระยะยาว (Long Term Care: LTC) จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่าร้อยละ 69.3 ประชากรในกลุ่มอายุ 60-69 ปี เป็นโรคเรื้อรัง และพบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83.3 ในกลุ่มที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไป โดยเป็นโรคเรื้อรัง 6 โรคพร้อมกันถึงร้อยละ 70.8 (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย, 2553)

จากภาพเป็นสถิติข้อมูลการเกิดโรคเรื้อรังที่พบมาก 5 อันดับแรกในผู้สูงอายุ ต่อประชากรแสนคน เปรียบเทียบระหว่างปี พ.ศ. 2548 กับปี พ.ศ. 2555 จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 2 เท่า โดยโรคที่พบได้มากที่สุดคือ โรคความดันโลหิตสูง รองลงมาคือโรคหัวใจ ที่สำคัญคือ 4 ใน 5 โรค (ยกเว้นมะเร็ง) ที่แสดงให้เห็นในกราฟนั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันดังต่อไปนี้ เมื่อความดันโลหิตสูง หัวใจห้องล่างซ้ายต้องทำงานหนักขึ้น และเกิดหนาตัวขี้นเมื่อเกิดขึ้นเป็นเวลานานจะทำให้เกิดภาวะหัวใจโต ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest: SCA) นอกจากนั้นยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หากผลการรักษาโรคหลอดเลือดสมองล่าช้า จะส่งผลให้เกิดเป็นอัมพฤกษ์/อัมพาตตามมา นอกจากนั้นโรคเบาหวานมักมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย เนื่องจากปริมาณน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้เลือดหนืด การไหลเวียนช้าลง หัวใจต้องเพิ่มแรงในการบีบตัวคือทำงานหนักมากกว่าปกติโดยไม่จำเป็น
ภาวะทุพพลภาพในผู้สูงอายุ คือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง ต้องพึ่งพอผู้อื่น เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้มากในผู้สูงอายุ ทั้ง แบบระยะสั้น คือการเจ็บป่วยหรือภาวะบกพร่องทางสุขาภาพที่เกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ เป็นผลให้ผู้สูงอายุต้องนอนป่วยหรือหยุดทำงานหรือหยุดกิจกรรมที่ทำได้อยู่เป็นปกติ และ แบบระยะยาว คือการเจ็บป่วยหรือภาวะบกพร่องทางสุขภาพที่เป็นมานานกว่า 6 เดือน และทำให้ผู้สูงอายุไม่สามารถปฏิบัติกิจอันเป็นปกติได้ พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และระดับความรุนแรงในเพศหญิงจะสูงกว่าด้วย นอกจากนั้นยังพบว่าผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังหลายโรค เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และอาการปวดเข่า มีส่วนสำคัญให้เกิดภาวะทุพพลภาพระยะยาวทั้งสิ้น คิดเป็นร้อยละ 84 อีกร้อยละ 16 เกิดจากอุบัติเหตุ พบว่าอุบัติเหตุที่สำคัญคือ เกิดขึ้นในบริเวณบ้านสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 32.1 อุบัติเหตุจากการเดินทางคิดเป็นร้อยละ 23.7 และอุบัติเหตุจากการทำงานคิดเป็นร้อยละ 21.4 จากการวิจัยยังพบว่า ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาน้อยและมีความขัดสนทางเศรษาฐานะมีโอกาสเกิดความทุพพลภาพได้สูงกว่า กลุ่มที่มีการศึกษาและเศรษฐานะดี ตัวอย่างภาวะทุพลลภาพจากการสำรวจคือ ไตวายเรื้อรัง หูตึง/หนวก เข่าอักเสบ ตาบอดหนึ่งหรือสองข้าง แขนขาอ่อนแรง อัมพาตครึ่งซีก นิ้วขาดหรือด้วน แขนขาเหยียดงอไม่ได้ เป็นต้น (สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล, 2539)
อย่างไรก็ตาม หากผู้สูงอายุได้รับการดูแลสนับสนุนในเรื่องพฤติกรรมสุขภาพ ใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี ดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังหรือทุพพลภาพจะน้อยลง ช่วยชะลอความเสื่อมถอยของร่างกาย ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ตามความเหมาะสม
การเปลี่ยนแปลงภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ มีดังต่อไปนี้
กำลังสำรองลดลง เป็นภาวะที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายมีสมรรถนะในการทำงานด้อยลงตามวัย แต่ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ถ้าหากร่างกายขาดความสมดุลจะทำให้เกิดความแปรปรวนในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เช่น - การออกกำลังกายที่มากเกินไปของผู้สูงอายุอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ เนื่องจากการทำงานของหัวใจไม่มีกำลังสำรองเหมือนเช่นวัยหนุ่มสาว - การถ่ายเหลวเพียงไม่กี่ครั้งก็อาจทำให้เกิดภาวะช็อคจากการเสียน้ำในร่างกาย (Hypovolumic shock) ภาวะไตวายและเสียชีวิตได้ - เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง เนื่องจากการทำงานของปอดและระบบไหวเวียนโรคหิต ระบบกล้ามเนื้อลงลง อาการและอาการแสดงที่แปลก คือ ผู้สูงอายุเมื่อมีการเจ็บป่วยจะมีอาการและอาการแสดงที่แตกต่างไปจากวัยหนุ่มสาว คือ "ไม่มีความเฉพาะเจาะจง" กับโรคที่เป็นอยู่ เช่น - ผู้สูงอายุที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน จะถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสับสนหรือซึมลงไม่ยอมลุกจากเตียง แทนที่จะมาด้วยอาการเจ็บหน้าอกเหมือนกับผู้ป่วยวัยอื่นๆ (ผ่องพรรณ อรุณแสดง,2555, หน้า 20) - โรคปอดบวม (Pneumonia) โดยทั่วไปจะมาด้วยอาการไข้ ไอ หอบ แต่ผู้สูงอายุจะไม่มีไข้ ไม่มีอาการหอบหรือไอ แต่จะไปพบแพทย์ด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซึมหรือสับสน (ชวลี แย้มวงษ์, 2539) การมีหลากหลายปัญหา ผู้สูงอายุมีการเสื่อมถอยของอวัยวะทุกระบบในร่างกายซึ่งมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้นก็จะส่งผลกระทบให้เกิดภาวะต่างๆ ตามมา นอกจากนั้นโรคเรื้อโรคหนึ่ง จะไปสนันสนุนให้เกิดโรคหรือความพิการอื่นตามมา เช่น - ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน จะมีความเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง) เนื่องจากการมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเลือด เปราะ ตีบแคบ และมีน้ำตาลจับตัวอยู่ตามผนังเส้นเลือด ส่งผลให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือโรคของเส้นเลือดสมอง (ฐิตินันท์ อนุสรณ์วงศ์ชัย. 2560) - โรคความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงเกิดกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัว เพราะหัวใจต้องทำงานหนักในการบีบตัวแต่ละครั้ง เพื่อต้านกับแรงดันในเส้นเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นในโรคความดันโลหิตสูง เมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวมากขึ้น เลือดจากปอดและหัวใจห้องบนซ้ายจะไม่สามารถส่งมายังหัวใจห้องล่างซ้ายได้หมด จนทำให้เกิดภาวะหัวใจโตขึ้น ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ (ธนัญญา บุณยศิรินันท์, 2554) การใช้ยามากชนิด เนื่องจากผู้สูงอายุมีโรคหลายโรค ทำให้ต้องพบแพทย์หลายสาขา ทำให้มีการใช้ยาอยู่หลายชนิด นอกจากนั้นบางรายก็จะซื้อยามาใช้เองอีกด้วย ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาต่อกัน (Adverse drug reaction) หรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้บ่อยและมักมีความรุนแรง และถูกนำส่งด้วยอาการบางอย่างเช่น หกล้มขาหัก เนื่องจากยาทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อมีการเปลี่ยนท่า (Orthostatic hypotension: OH) เช่น - ยาขับปัสสาวะที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง จะขับน้ำและเกลือในร่างกายออก จึงอาจทำให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) หรือภาวะเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุล (Electrolyte imbalance) - ยารักษาโรคพาร์กินสันบางชนิด (สิริพรรณ พัฒนาฤดี และ สิรนันท์ กลั่นบุศย์, 2562) ความไม่เอื้ออำนวยของสังคม การเกษียณอายุจากการทำงานทำให้มีรายได้ลดลง การแยกบ้านของลูกเมื่อมีครอบครัว การจากไปของคู่ครอง การเหินห่างกลุ่มเพื่อน การถดถ่อยของความสามารถในการดูแลตนเอง จำเป็นต้องพึ่งพอผู้อื่นทำให้มีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสุขภาพของรัฐ หรือมีข้อจำกัดในการรับการดูแลที่เหมาะสม ดังนั้นในการดูแลผู้สูงอายุจึงต้องเกี่ยวข้องกับญาติและผู้ดูแล ต้องประเมินความสัมพันธ์ของเครือญาติและเครือข่ายทางสังคมที่สนับสนุนผู้สูงอายุ รวมถึงเศรษฐานะ สังคมและสิ่งแวดล้อม (ผ่องพรรณ อรุณแสง, 2555 หน้า 21) จากการสำรวจพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 3.2 ล้านคน แต่เข้าถึงระบบบริการเพียงร้อยละ 41 ในจำนวนนี้สามารถควบคุมโรคได้ร้อยละ 16 ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ล้านคน เข้าถึงระบบบริการเพียงร้อยละ 29 ในกลุ่มนี้สามารถควบคุมโรคได้ดีเพียงร้อยละ 16 ซึ่งทั้งสองโรคนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพพลภาพสูง ซึ่งก็จะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มยิ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษญกิจของประเทศตามมา (สุมนี วัชริสินธ์ และคณะ, 2560)