4) ระดับออร์แกเนล (Organelle Level) คือ โครงสร้างย่อยที่มีขนาดเล็กอยู่ภายในเซลล์และมีหน้าที่เฉพาะของแต่ละ ออร์แกเนลล์ (Organelle) แต่ละออร์แกเนลล์จะประกอบขึ้นจากโมเลกุลชนิดต่างๆ โดยมีการรวมตัวของโมเลกุลที่แตกต่างกันออกไป (รายละเอียดของแต่ละออร์แกเนลล์กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น)

5) ระดับเซลล์ (Cell Level) เซลล์จัดเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต มีหน้าที่เฉพาะ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ แต่ละเซลล์จะประกอบด้วยออร์แกเนลล์ต่างๆ ที่ทำหน้าที่เฉพาะ และทำให้เซลล์สามารถดำรงค์อยู่ได้ (ส่วนประกอบของเซลล์ได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น) เซลล์จะมีรูปร่างแตกต่างกันไปหลายๆ แบบ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเหมาะสม หรือสัมพันธ์กับหน้าที่ของเนื้อเยื่อนั้นๆ เช่น เซลล์ประสาท (Nerve cell: เนิร์ฟว’ เซลล์) นอกจากนั้นรูปร่างของเซลล์แต่ละชนิดก็จะมีหน้าที่เฉพาะของเซลล์นั้นๆ ด้วยเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ไปจากปกติ สามารถใช้เป็นข้อบ่งชี้ของการเกิดโรคได้ด้วย

     เซลล์สามารถแบ่งออกได้เป็น 6 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
     5.1 เซลล์แบบทรงกลม (Spherical shape:  สเฟีย'ริเคิล เชพ) ได้แก่เซลล์ที่เคลื่อนที่ได้ ไม่ได้ถูกตรึงไว้กับที่ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell: WBC) เซลล์ไข่ (Ovum: โอวุม) เป็นต้น
     5.2 เซลล์รูปร่างแบน (Squamous shape:  สะแคว'มัส เชพ) เซลล์ที่มีรูปร่างแบบนี้เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นว่าขอบเซลล์มีรูปร่างหลายเหลี่ยมและกว้าง แต่ถ้ามองจากด้านข้างจะเห็นไซโตพลาซึมของเซลล์แบนแคบ แผ่ออกทางด้านข้าง และมีนิวเคลียสเดี่ยวดันนูนอยู่ตรงกลางเซลล์ เซลล์ลักษณะแบบนี้มักทำหน้าที่เป็นเซลล์ของเยื่อบุผิวของผนังท่อขนาดเล็ก เช่น หลอดเลือด หรือประกอบเป็นเยื่อบุผิวชั้นบนๆ เช่น ผิวหนังกำพร้า (Epidermis: เอพพิเดอ'มิส)
     5.3 เซลล์รูปร่างลูกบาศก์ (Cuboidal shape: คิวบอยดัล เชพ) คือ จะมีด้านกว้าง และด้านยาวขนาดพอๆ กัน เซลล์ชนิดนี้มักจะประกอบเป็นเยื่อบุผิวของท่อขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เช่น ท่อภายในไต รังไข่
     5.4 เซลล์รูปร่างทรงกระบอก (Columna shape: คะลัม'นะ เชพ) เซลล์จะมีลักษณะทรงสูงมากกว่าความกว้าง นิวเคลียสจะค่อนไปทางฐานของเซลล์ ส่วนใหญ่พบเซลล์ชนิดนี้ตามเยื่อบุผิวระระบบทางเดินอาหาร เช่น ที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ หรือท่อนำไข่ เป็นต้น 
     5.5 เซลล์รูปร่างกระสวย (Fusiform หรือ Spindle shape: ฟิว'ซะฟอร์ม หรือ  สพิน'เดิล เชพ) เซลล์จะมีลักษณะโปร่งนูนตรงกลาง และเป็นที่ตั้งของนิวเคลียส และมีปลายของทั้งสองข้างเรียวยาว พบในอวัยวะที่มีกล้ามเนื้อเรียบเป็นโครงสร้าง เช่น ผนังกระเพราะอาหาร ผนังสำไส้ และผนังเส้นเลือด เป็นต้น
     5.6 เซลล์รูปร่างแฉกดาว (Stellate shape: สเทลเลท เชพ) เซลล์ที่มีรูปแฉกดาวจะมีแขนงยื่นออกไปรอบๆ ตัวเซลล์ พบลักษณะเซลล์ชนิดนี้ที่เซลล์ของระบบประสาทเท่านั้น

6) ระดับเนื้อเยื้อ (Tissue Level: ทิชชู เลเวล) เนื้อเยื่อเกิดจากการรวมตัวเข้าด้วยกันของเซลล์ที่มีลักษณะเหมือนกัน ทำหน้าที่เหมือนกัน กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื้อเยื้อจะมีหลายแบบตามแต่ชนิดของเซลล์ที่มารวมตัวกัน โดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ

     6.1 เนื้อเยื้อบุผิว (Epithelial tissue:เอพพะธี'เลียม ทิช'ชิว) เนื้อเยื่อบุผิวสามารถพบได้ทั่วไปทั้งที่เป็นส่วนปกคลุมร่างกาย และช่องโพรงในร่างกาย เช่น ผนังด้านในของหลอดเลือด ผนังด้านในช่องท้อง ผนังทางเดินหายใจ ผนังด้านสนของระบบย่อยอาหาร ต่อมน้ำเหลือ ต่อมน้ำลาย เป็นต้น 
     หน้าที่ของเนื้อเยื่อบุผิว (Function of the Epithelial tissue)
     - การป้องกัน (Protection: พรอเทค'เชิน) คือ ป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปส่วนลึกของเนื้อเยื่อ และป้องกันอวัยวะต่างๆ ไม่ให้เกิดการฉีกขาดจากการเสียดสี เช่น ผิวหนัง เยื่อบุหลอดเลือด เป็นต้น
     - การดูดซึม (Absorption: แอบซอร์พ' เชิน) คือ ความสามารถในการดูดซึมสารต่างๆ เช่น เยื่อบุผิวในลาไส้ดูดซึมสารอาหารและน้ำ เยื่อบุผิวของถุงลมปอดดูดซึมก๊าซออกซิเจนเข้ากระแสเลือดและขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย และผนังของไตทำหน้าที่ในการดูดซึมและขับถ่ายสารต่าง ๆ ที่ผ่านมาที่ไต เป็นต้น
     - การหล่อลื่น (Lubrication: ลูบริเค'เชิน) ความสามารถในการสร้างสารหล่อลื่นหรือสารเมือก เพื่อลดการเสียดสีของอวัยวะต่างๆ เช่น สารเมือกที่สร้างขึ้นโดยเซลล์เยื่อบุผิวของทางเดินอาหาร
     - การคัดหลั่ง (Secretion: ซีครี'เชิน) คือ ความสามารถในการสร้างและคัดหลั่งสารต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ เมือก เป็นต้น
     - การขับทิ้ง (Excretion: เอคซครี'เชิน) คือ ความสามารถในการแยกและขับเอาของเสียทิ้ง เช่น เหงื่อ ปัสสาวะ เป็นต้น
     - การรับความรู้สึก (Sensation: เซนเซ'เชิน) คือ ความสามารถในการรับความรู้สึก เช่น เซลล์รับรส และเซลล์รับกลิ่น เป็นต้น
     - การสืบพันธุ์ (Reproduction: รีพรอดัค'เชิน) คือ ความสามารถในการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์สืบพันธุ์ เช่น เซลล์เยื่อบุผิวในรังไข่ (Primordial follicle) และการสร้างเชื้ออสุจิของอัณฑะ (Spermatogenesis: สเปอร์มาโธ'เจนเนอร์ซีส)

     เนื้อเยื่อบุผิวยังแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
         6.1.1 เยื่อบุผิวชั้นเดียว (Simple epithelium:ซิมเพิล  คิวบอยดัล ) แบ่งย่อยออกเป็น
               6.1.1.1 ชนิดแบนชั้นเดียว (Simple squamous epithelium:ซิมเพิล สะแคว'มัส เอพพะธี'เลียม) พบได้ที่ผนังหลอดเลือด ผนังถุงลมปอด เยื่อบุช่องท้อง  เยื่อบุชนิดนี้พบที่เยื่อบุช่องอก (Pleura: พลู-แร็ล) เยื่อบุช่องท้อง
(Peritoneum: เพอริโทเนียม) และเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardium: เพอระคาร์'เดียม)  เยื่อบุที่หลอดเลือด (Intima endotilium: อิน'ทะมา เอนโดธีเลียม) เยื่อบุชั้นในของหลอดน้ำเหลือง และผนังชั้นในของถุงลมในปอดเรียกว่า เอนโดทีเลียม (Endothelium) เยื่อบุชนิดนี้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ของสาร เช่น การสร้างปัสสาวะในไต การแพร่ของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถุงลมในปอด เป็นต้น เยื่อบุผิวชนิดนี้จึงมีลักษณะแบนและบางเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
               6.1.1.2 ชนิดลูกบาศก์ชั้นเดียว (Simple cuboidal epithelium: ซิมเพิล คิวบอยดัล เอพพะธี'เลียม) พบได้อวัยวะภายในที่เป็นท่อ และท่อของต่อมต่างๆ เช่น ท่อไต รังไข่ ต่อมเหงื่อ เป็นต้น
               6.1.1.3 ชนิดทรงกระบอกชั้นเดียว (Simple columnar epithelium: ซิมเพิล คอลัมนา เอพพะ'ธีเลี่ยม) สามารถพบได้ที่ทางเดินอาหาร ผนังมดลูก ท่อนำไข่ เป็นต้น มักทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้าง "สารคัดหลั่ง" และการดูดซึมสารต่างๆ 
          6.1.2 เยื่อบุผิวแบบ 2 ชั้นขั้นไป (Stratified epitheluim: สตราติไฟด์   อีพีธีเลียม) แบ่งออกเป็น
               6.1.2.1 เซลล์ชั้นบนสุดเป็นเซลล์แบบแบนบาง (Stratified squamous epitheluim:  สตราติไฟด์ สะแคว'มัส อีพีธีเลียม) เซลล์ที่อยู่ถัดลงมาจะเป็นแบบลูกบาศก์ (Cuboidal คิวบอยดัล) หรือแบบทรงกระบอก (Columnar คอลัมนา) โดยเซลล์ชั้นล่างจะแบ่งตัวขึ้นไปทดแทนเซลล์ชั้นบนที่หลุดออกไป เยื่อบุชนิดนี้มักมีหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการเสียดสีทั้งจากภายนอกและภายในร่างกาย เช่น ที่ผิวหนัง (Skin) ช่องปาก (Oral carvity) หลอดอาหาร (Esophagus) ช่องคลอด (Vagina) เป็นต้น บริเวณของร่างกายที่มีการเสียดสีมาก ผิวชั้นบนสุดจะแห้งและมีเม็ดสีผสมอยู่มาก เช่น ที่ผิวหนังทั่วไป แต่บางแห่งจะมีความชุ่มชื่นสูง เช่น ในช่องปาก หลอดอาหารและช่องคลอด เป็นต้น stratified epithelium แบ่งออกเป็น
                6.1.2.2 เซลล์ชั้นบนสุดเป็นแบบลูกบาศก์ (Stratified cuboidal epithelium:สตราติไฟด์ คูบอยดัล อีพีธีเลียม) เช่น ท่อของต่อมเหงื่อ (Sweat duct: สเวท ดัคท์)
                6.1.2.3 เซลล์ชั้้นบนสุดเป็นรูปแท่ง (Stratified columnar epithelium:สตราติไฟด์ คอลัมนา อีพีธีเลียม) พบได้ที่ท่อปัสสาวะของเพศชาย (Male uretha: เมล ยูรีธา) ท่อของต่อมน้ำนม (Lactiferous duct: แลคทิเฟอรัส) คอหอย (Pharynx: แฟ'ริงคซฺ)
                6.1.2.4 เซลล์ที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ (Transitional epithelium: แทรนซิซ'เชินนัล อิพิธีเลี่ยม) เช่น เปลี่ยนจากทรงลูกบาศก์เป็นทรงแบบน พบได้ในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ที่กรวยไต (Renal pelvis: รีนัล เพลวิส) ท่อไต (Ureter: ยูรีเทอร์) เป็นต้น

          6.1.3 ชนิดทรงกระบอกหลายชั้นเทียม (Pseudostratified ciliated columnar epithelium: ซูโดสตราติไฟด์ ซิเลียทิด คอลัมนา อีพีธีเลียม) มีชนิดเดียว จัดเป็น simple epithelium ชนิดหนึ่งแต่ประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีขนาดสูงไม่เท่ากัน ทาให้นิวเคลียสเรียงตัวกันหลายระดับ คล้ายชนิดเซลล์หลายชั้น (Stratified: สตราติไฟด์) แต่เซลล์ทั้งหมดตั้งอยู่บนแผ่นเนื้อเยื่อฐาน (Basement membrane:เบสเมนท์ แมมเบรน) เดียวกัน และมีขน (Cilia: ซิเลีย) อยู่บริเวณด้านบนของเซลล์ พบเซลล์นี้ได้ตามทางเดินหายใจและท่อในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ส่วนด้านบนจะมีลักษณะคล้ายเส้นขนโบกไปมา มีส่วนช่วยทำความสะอาดขออวัยวะที่มีเซลล์ชนิดนี้อยู เช่น ทางเดินหายใจ เซลล์จะช่วยพัดโบกฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอม โดยจะมีการหลั่งน้ำมูกหรือเสมหะที่จะช่วยขับสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ออกมาจากทางเดินหายใจได้ดีขึ้น

หน้า: 1 2 3 4 5 6